บทที่ 6 เจ้าหน้าที่ใหม่เข้ารับตำแหน่ง
ณ ทางเข้าโรงแรม แสงแดดสาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างตึกระฟ้า กระทบลงบนพื้นหินอ่อนที่เป็นประกายระยิบระยับ เหล่าผู้บริหารระดับสูงในชุดสูทเนี้ยบกริบกำลังรวมตัวกันที่หน้าประตู สีหน้าเคร่งขรึมแต่แฝงไปด้วยความคาดหวัง พลางกระซิบกระซาบหารือกันถึงตัวตนของบิ๊กบอสคนใหม่ที่จะมาประจำการ
"ได้ข่าวว่าคนที่มาครั้งนี้เป็นลูกสาวแท้ๆ ของคุณธนวัฒน์เลยนะ ท่านให้ความสำคัญกับการตรวจสอบครั้งนี้มาก! ต้องเป็นตัวแม่ที่รับมือยากแน่ๆ" ใครคนหนึ่งกระซิบเสียงเบา สายตาคอยชำเลืองมองไปที่ประตูอยู่เป็นระยะ ราวกับกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดแม้เพียงเล็กน้อย
ผู้บริหารอีกคนเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง จึงแค่นหัวเราะออกมา "คุณธนวัฒน์มีบ้านเล็กบ้านน้อยเต็มไปหมด ยัยนี่คงเป็นลูกนอกสมรสที่ไม่ได้รับความโปรดปรานล่ะมั้ง? ถ้าเป็นลูกรักจริงๆ จะถูกส่งมาตามเช็ดล้างเรื่องเน่าๆ ที่นี่เหรอ?"
"ต่อให้เป็นลูกสาวแท้ๆ ก็เถอะ น่าจะเป็นพวกคุณหนูโลกสวยทำอะไรไม่เป็น วันๆ ดีแต่ผลาญเงิน จะไปมีน้ำยาอะไร?"
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรส ร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น เสียงเครื่องยนต์ของรถมายแบคทำลายความเงียบสงัดลง เมื่อประตูรถเปิดออก เพ็ญนีติ์ก็ก้าวออกมาอย่างเชื่องช้าในชุดสูทกระโปรงเข้ารูปสุดหรู ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงบนบ่าอย่างเบาสบาย ดูสง่างามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความทะมัดทะแมง ทุกย่างก้าวของเธอแผ่ซ่านไปด้วยเสน่ห์ของผู้ใหญ่ ราวกับนางพญาผู้ทรงอำนาจได้มาเยือน
"เธอคือผู้จัดการทั่วไปคนใหม่ของโรงแรมเคเอส เวิลด์ ของเราเหรอ?" เสียงซุบซิบดังขึ้นในกลุ่มคน พวกเขาแอบลอบมองเพ็ญนีติ์ด้วยสายตาที่ผสมปนเปไปด้วยความหวาดหวั่นและความชื่นชม
เพ็ญนีติ์เพียงแค่ยิ้มมุมปากบางๆ แต่ในใจกลับเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ไว้แล้ว เธอไม่ได้เดินตามกลุ่มผู้บริหารเพื่อไปดูงานตามตาราง แต่กลับเลือกที่จะสุ่มตรวจแบบไม่ให้ตั้งตัว เห็นได้ชัดว่าต้องการเซอร์ไพรส์พวกเขา
ขณะที่เหล่าผู้บริหารค่อยๆ เดินเข้าไปในโรงแรม เพ็ญนีติ์กลับเดินแยกไปยังห้องอาหาร ทางเดินเผยให้เห็นความหรูหราที่เรียบง่าย เมื่อเธอผลักประตูห้องอาหารเข้าไป กลิ่นอาหารก็โชยมาปะทะจมูกทันที เธอเดินสำรวจวัตถุดิบต่างๆ อย่างสบายๆ แต่ทว่าหัวใจกลับค่อยๆ ดิ่งลง
วัตถุดิบตรงหน้าน่าผิดหวังเหลือเกิน อาหารทะเลสีซีดเซียวไร้ความสด แถมยังมีกลิ่นคาวโชยออกมา ส่วนผักใบเขียวก็เริ่มเหลืองจนน่าสงสัย ราวกับกำลังส่งสัญญาณความไม่ชอบมาพากลบางอย่างบอกเธอ
"นี่มันเรื่องอะไรกัน?" เพ็ญนีติ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย สัญญาณเตือนภัยในใจดังลั่น เธอหันหลังเดินตรงไปยังบาร์เครื่องดื่ม เห็นขวดเหล้าเรียงรายเป็นระเบียบอยู่บนชั้นวาง หัวใจกระตุกวูบ เธอหยิบเครื่องดื่มขวดหนึ่งขึ้นมาเปิดดู ของเหลวสีเหลืองจางๆ เผยให้เห็นร่องรอยของการเจือจาง คุณภาพเครื่องดื่มกับมาตรฐานของโรงแรมช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
"ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!" เธอกัดฟันแน่น ความโกรธปะทุขึ้นในใจ ของพวกนี้สมพงษ์เป็นคนรับผิดชอบจัดซื้อ เพ็ญนีติ์ตระหนักได้ทันทีว่าการมาตรวจงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่พิธีรีตอง แต่คือการกระชากหน้ากากเปิดโปงความเน่าเฟะที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์อันสวยหรู
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องพัก สิ่งที่เห็นก็ทำให้ผิดหวังไม่แพ้กัน เครื่องนอนคุณภาพต่ำ ผ้าปูที่นอนและหมอนที่ไร้ซึ่งความนุ่มนวล แม้แต่กลิ่นหอมสดชื่นก็ยังหาไม่เจอ เพ็ญนีติ์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที หัวใจหนักอึ้ง พลางคิดว่าในทีมงานนี้ เธอไม่ได้มีหน้าที่แค่บริหารธุรกิจ แต่ต้องเผชิญหน้ากับระบบการจัดการที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
"สภาพแบบนี้ รับไม่ได้จริงๆ!" เสียงของเธอก้องกังวานไปทั่วห้อง ราวกับจะฉีกหน้ากากแห่งความจอมปลอมทั้งหมดให้แหลกละเอียด เพ็ญนีติ์รู้ดีว่าหากต้องการยกระดับภาพลักษณ์และคุณภาพบริการของโรงแรม ก็ต้องจัดการเรื่องพวกนี้ให้สิ้นซาก
เธอเรียกผู้จัดการที่อยู่ในเหตุการณ์มาพบ น้ำเสียงเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยโทสะ "ตอนที่พวกคุณอนุมัติการจัดซื้อของพวกนี้ ใช้อะไรคิดไม่ทราบ? วัตถุดิบพวกนี้ไม่ได้มาตรฐานของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เครื่องนอนก็ไม่เหมาะกับระดับของโรงแรม!"
ผู้จัดการดูตื่นตระหนก อึกอักพยายามแก้ตัว "พวกเราคิดว่าจะช่วยลดต้นทุน..."
"ไม่ต้องมาหาข้ออ้าง!" เพ็ญนีติ์พูดสวนขึ้นทันควัน สายตาคมกริบราวกับมีดที่กรีดลึกลงไปในใจอีกฝ่าย "การลดต้นทุนไม่ได้หมายความว่าต้องลดคุณภาพ! เราเป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ ความพึงพอใจของลูกค้าคือเหตุผลเดียวที่เราดำรงอยู่ได้! งบค่าอาหารหัวละตั้งสามร้อยกว่าบาท แต่คุณกลับให้ลูกค้ากินเศษปลาเน่าๆ เนี่ยนะ?"
ทุกคนก้มหน้าเงียบกริบ เมื่อเจอกับคำถามและการตำหนิอันเฉียบขาดของเพ็ญนีติ์ ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
"ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซัพพลายเออร์ทุกรายต้องได้รับการประเมินใหม่ ฉันต้องการความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นในโรงแรมของเราต้องได้มาตรฐานคุณภาพสูงสุด!" เพ็ญนีติ์ออกคำสั่งอย่างไม่ไว้หน้า "รองฯ สมพงษ์ เดี๋ยวไปคุยเรื่องจัดซื้อกับฉันที่ห้องทำงาน"
ทันทีที่กลับถึงห้องทำงาน เพ็ญนีติ์ก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารอย่างแรง แล้วหมุนเก้าอี้ระบายอารมณ์ไปหลายรอบ ยังไม่หนำใจ ถิร เลขาฯ หนุ่มจึงใช้ไหวพริบอันชาญฉลาด เข้ามาช่วยทำหน้าที่หมุนเก้าอี้ให้อย่างรู้ใจ
หมุนไปได้สักพัก เพ็ญนีติ์ถึงได้พอใจ เธอกระพริบตากลมโต แล้วยื่นมือเรียวสวยไปบีบแก้มถิรเล่น ทำเอาหน้าของเจ้าลูกหมาน้อยแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุก
"เพ็ญนีติ์ เธอคือว่าที่ประธานเคเอสในอนาคตนะ ช่วยทำตัวให้สมกับเป็นผู้มีอำนาจหน่อยได้ไหม อย่าไปลวนลามถิรแบบนั้น" ธงชัยขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ทำไมล่ะ? ทีท่านประธานผู้ชายยังแต๊ะอั๋งเลขาฯ สาวได้ แล้วทำไมฉันที่เป็นบอสหญิงจะจับแก้มเลขาฯ ชายบ้างไม่ได้?"
หน้าของถิรยิ่งแดงจัดขึ้นไปอีกจนแทบจะหยดเป็นเลือดได้ เพ็ญนีติ์เห็นดังนั้นจึงยอมปล่อยเขาไป
แก้มของเด็กหนุ่มนี่สัมผัสดีจริงๆ มิน่าล่ะใครๆ ถึงชอบคบเด็ก
ธงชัยส่ายหน้า เบ้าตาคมเข้มฉายแววอ่อนโยนและรอยยิ้มเอ็นดูน้องสาว
ไม่นานนัก รองฯ สมพงษ์ก็เดินตัวสั่นงันงกเข้ามาในห้องทำงาน
ตามที่เขารายงาน เครื่องนอนทั้งหมดของโรงแรมใช้ยี่ห้อ แอรี่โฮมมิ่ง
อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น? แอรี่โฮมมิ่ง เป็นธุรกิจที่พี่ชายของรักแรกของคณเดชเป็นคนก่อตั้ง มิน่าล่ะ พอเพ็ญนีติ์นั่งลงไปถึงได้รู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งตัว
พอนึกถึงฟูกแข็งๆ คุณภาพแย่นั่นเธอก็หงุดหงิด การพักผ่อนที่ไม่สบายตัวส่งผลกระทบต่อความประทับใจของลูกค้าที่มีต่อโรงแรมอย่างมาก มิน่าล่ะรีวิวในเน็ตถึงได้แย่ขนาดนั้น!
"คุณสมพงษ์ ฉันอยากจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ของแอรี่โฮมมิ่งออกทั้งหมด คุณมีความเห็นว่ายังไง?" เพ็ญนีติ์แกล้งถามลองเชิง
"เอ่อ... จะดีเหรอครับ เรากับแอรี่โฮมมิ่งเป็นคู่ค้ากันมานาน อยู่ๆ จะไปฉีกสัญญา..." สมพงษ์อธิบายตะกุกตะกัก
"โอเค ฉันเข้าใจความเห็นของคุณแล้ว" เพ็ญนีติ์ไม่อธิบายอะไรเพิ่ม โบกมือไล่ให้สมพงษ์ออกไป
ดูท่าทางสมพงษ์กับแอรี่โฮมมิ่งจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นพอสมควร ถ้าอย่างนั้นก็คงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาไล่ออก รอไปก่อน
เพ็ญนีติ์กำลังครุ่นคิดถึงก้าวต่อไปของโรงแรม ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของธงชัยดังขึ้น เพ็ญนีติ์เหลือบตามองแวบหนึ่ง หน้าจอโชว์เบอร์แปลก
ไม่สิ สำหรับเพ็ญนีติ์ เบอร์นี้ไม่แปลกเลยสักนิด
คณเดช... เขาโทรหาธงชัยทำไม?
ในสายตาคนนอก ธงชัยเป็นคนที่อบอุ่นและเป็นกันเองมาก แต่คนนอกที่ว่า ไม่นับรวมคณเดช เพราะคณเดชคือศัตรู เขาขี้เกียจจะเสวนากับคณเดช และไม่อยากให้น้องสาวต้องมาเปลืองน้ำลายด้วย จึงกดตัดสายทิ้งอย่างไม่ไยดี
แต่ใครจะรู้ ปลายสายยังคงโทรมาอย่างไม่ลดละ
หลังจากตัดสายทิ้งไปสามรอบติด ธงชัยก็ทำท่าจะกดบล็อกเบอร์ แต่เพ็ญนีติ์กลับส่งสัญญาณให้ธงชัยรับสาย พี่ชายที่รักน้องสาวอย่างเขาจะปฏิเสธคำขอน้องได้ยังไง
"ก็ได้ ตามใจเธอ"
ธงชัยกดรับสายและเปิดลำโพงอย่างใจเย็น แต่ยังไม่รีบพูดอะไร
"คุณธงชัย ภรรยาผมอยู่กับคุณหรือเปล่า?" เสียงของคณเดชแหบพร่ายิงคำถามมา
"อ้าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็อดีตสามีนี่เอง" ธงชัยพูดจายั่วโมโหได้โล่
"กรุณาระวังคำพูดด้วย เรายังดำเนินการหย่าไม่เสร็จ ยังไม่ได้ใบหย่า ในทางนิตินัย รดาก็ยังเป็นภรรยาของผม พวกคุณอย่าเพิ่งรีบร้อนกันนัก!"
เพ็ญนีติ์หลุดหัวเราะเยาะออกมา "ใครกันแน่ที่รีบร้อน? คุณพาภาวินีเข้ามาอยู่ในบ้านทั้งที่ยังแต่งงานกันอยู่ บีบให้ฉันเซ็นใบหย่า ตอนนี้ฉันเซ็นให้แล้วคุณยังจะโทรมาตามรังควานอีก หน้าด้านหรือเปล่าคะ?!"
ธงชัยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์
นี่แหละเพ็ญนีติ์ กุหลาบงามที่ทั้งแสบสันและไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน
